Water Exercise คือการเคลื่อนไหวร่างกายในน้ำเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ระบบหัวใจ และความยืดหยุ่น โดยใช้น้ำเป็นแรงต้านตามธรรมชาติ ซึ่งมีจุดเด่นที่ความนุ่มนวลและลดแรงกระแทก จึงเหมาะกับคนทุกวัย โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้บาดเจ็บ และผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก
ข้อดีของการออกกำลังกายในน้ำ
- ลดแรงกระแทกต่อข้อต่อและกระดูก
น้ำช่วยพยุงน้ำหนักร่างกายได้ถึง 90% ทำให้การเคลื่อนไหวในน้ำลดภาระของเข่า สะโพก และข้อเท้า
เหมาะกับผู้ที่มีข้อเสื่อม ผู้บาดเจ็บ หรืออยู่ในช่วงฟื้นฟู - เผาผลาญแคลอรีได้ดี
แม้จะดูสบาย ๆ แต่การต้านแรงน้ำตลอดเวลาทำให้ใช้พลังงานมาก เช่น เดินในน้ำ 30 นาทีสามารถเผาผลาญได้ราว 200–300 แคลอรี - เพิ่มความแข็งแรงและยืดหยุ่น
การเคลื่อนไหวในน้ำฝึกกล้ามเนื้อแบบ Resistance Training โดยไม่ต้องใช้ดัมเบลหรือเครื่องออกกำลังกาย
เหมาะสำหรับเสริมสร้างกล้ามเนื้อโดยไม่ต้องยกของหนัก - ช่วยระบบไหลเวียนเลือดและหัวใจ
การออกแรงในน้ำกระตุ้นหัวใจให้สูบฉีดเลือดได้ดี โดยไม่เกิดแรงกระแทกที่เป็นอันตราย - ผ่อนคลาย ลดความเครียด
การอยู่ในน้ำเย็นหรือน้ำอุ่นช่วยผ่อนคลายระบบประสาทและลดความเครียด เหมือนการทำ spa & workout ไปพร้อมกัน
ประเภทของ Water Exercise ยอดนิยม
- Water Aerobics (แอโรบิกในน้ำ)
เต้นหรือเคลื่อนไหวตามจังหวะเพลงในน้ำ เหมือนคลาสแอโรบิกบนบก แต่เบากว่าและสนุกมาก - Aqua Jogging
เดินหรือวิ่งในสระน้ำ โดยเฉพาะในน้ำลึก ช่วยสร้างกล้ามเนื้อและฝึกระบบหายใจ - Water Yoga / Aqua Yoga
โยคะในน้ำ เพิ่มสมดุล ความยืดหยุ่น และความสงบจิตใจ - Water Zumba
เต้นซุมบ้าในน้ำ เบิร์นสนุก ๆ พร้อมเสียงเพลง มีแรงต้านของน้ำช่วยเผาผลาญ - Resistance Training ในน้ำ
ใช้อุปกรณ์เสริม เช่น ดัมเบลโฟม หรือ resistance gloves เพื่อเพิ่มแรงต้านในน้ำ - Hydrotherapy (กายภาพในน้ำ)
ออกแบบเฉพาะสำหรับการฟื้นฟูผู้บาดเจ็บ ผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยเรื้อรัง
ตัวอย่างโปรแกรมง่าย ๆ สำหรับมือใหม่
โปรแกรม “เดินในน้ำ” (Water Walking)
- ยืนในสระที่ระดับน้ำถึงเอว
- เดินไปข้างหน้า 10 เมตร (เดินช้า ๆ แต่เกร็งหน้าท้อง)
- ถอยหลัง 10 เมตร
- ยกเข่าสูงสลับข้างระหว่างเดิน
- ทำต่อเนื่อง 10-15 นาที